ต้องยอมรับว่า เรื่องของความเปลี่ยนแปลง และ ความแปรปรวนทางด้านอารมณ์ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญ ที่ว่าที่คุณแม่ต้องเผชิญในช่วงการตั้งครรภ์ เรียกได้ว่าบ้างครั้ง ใน 1 วัน อารมณ์ของคุณแม่เปลี่ยนไปแทบไม่ซ้ำกันเลย บางท่านอาจเป็นมากถึงขั้น “โรคซึมเศร้า” เลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เวลบีอยากบอกว่า อาหารเหล่านี้ถือเป็นเรื่องธรรมชาติ ที่คุณแม่ทุกท่านต้องเผชิญ เพราะอาการพวกนี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายของคุณแม่เท่านั้น ไม่ใช่อาการผิดปกติแต่อย่างใด ซึ่ง คุณพ่อคือบุคคลสำคัญที่จะทำให้คุณแม่ก้าวผ่านเรื่องยากๆ นี้ไปได้ ดังนั้น เวลบีเลยรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับฮอร์โมนต่างๆ รวมถึงอาการต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับคุณแม่ เพื่อให้คุณพ่อเข้าใจและสามารถรับมือกับคุณแม่ได้ดีขึ้นค่าา
4 ฮอร์โมนสำคัญ ในช่วงการตั้งครรภ์
1. ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone)
โปรเจสเตอโรน หรือ ฮอร์โมนสำหรับการตั้งครรภ์ ทำให้การตั้งครรภ์สามารถดำเนินต่อไปได้ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของตัวอ่อน และมีหน้าที่ในการยับยั้งการหดรัดตัวของกล้ามเนื้อมดลูก ทำให้ร่างกายไม่กำจัดทารกซึ่งถือว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมของร่างกายออกมา โดยเจ้าฮอร์โมนนี้จะไปกดภูมิคุ้มกันของร่างกายเอาไว้นั่นเอง ปกติแล้วรกจะทำหน้าที่ในการผลิตฮอร์โมนโพรเจสเตอโรนเพิ่มขึ้นตลอดการตั้งครรภ์ ซึ่งระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะสูงขึ้นอย่างช้า ๆ ในช่วงระหว่างสัปห์ดาที่ 9 – 32 ของการตั้งครรภ์
2. ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen)
ฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนเพศหญิงซึ่งทำหน้าที่พัฒนาอวัยวะในระบบสืบพันธุ์เพศหญิง โดยส่วนใหญ่ผลิตจากรังไข่ แต่เมื่อตั้งครรภ์ฮอร์โมนนี้จะถูกผลิตออกมาจากรกอีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างร่างกายของคุณแม่ให้เหมาะสมต่อการตั้งครรภ์ และช่วยให้ทารกมีการเจริญเติบโตที่สมบูรณ์แข็งแรง อีกทั้ง ยังมีการพบว่า ในขณะใกล้คลอดจะมีปริมาณของเอสโตรเจนสูง และเอสโตรเจนทำให้มีเลือดมาเลี้ยงที่มดลูกมาก
3. ฮอร์โมนฮิวแมนดอร์โอนิกโกนาโดโทรฟิน (Human Chorionic Gonadotropin: HCG)
ฮอร์โมน HCG เป็นฮอร์โมนที่สร้างมาจากถุงน้ำคร่ำที่อยู่ติดกับมดลูก (Chorian) สามารถตรวจพบได้ตั้งแต่วันที่ 8 ของการปฏิสนธิ ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ปริมาณ HCG จะสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในวันที่ที่ขาดประจำเดือน และสูงที่สุดในช่วงอายุครรภ์ 8 – 10 สัปดาห์ หลังจากนั้นจะลดลงและคงที่ตลอดการตั้งครรภ์ ฮอร์โมนชนิดนี้ยังก่อให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนในสตรีมีครรภ์ได้ด้วย ซึ่งจะสังเกตได้ว่า คุณแม่จะมีอาการแพ้ท้องคลื่นไส้อาเจียนในช่วงแรก ๆ ของการตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นช่วงที่ HCG สูงมาก ๆ นั่นเอง และฮอร์โมนนี้ยังถูกนำมาใช้ตรวจการตั้งครรภ์ ทั้งการทดสอบด้วยตัวเองและการตรวจโดยวิธีทางการแพทย์ด้วยค่า
4. ฮอร์โมนฮิวแมนพลาเซนต้าแลกโตรเจน (Human Placental Lactogen: HPL)
ฮอร์โมน HPL ถูกผลิตขึ้นภายในรก มีคุณสมบัติในการสลายไขมันเพื่อให้เลือดแม่และทารกมีกรดไขมันสูงขึ้น อีกทั้งยังยับยั้งการนำกลูโคสเข้าเซลล์แม่ทำให้ร่างกายต้องหลั่งอินซูลินเพิ่มมากขึ้น และยับยั้งการสังเคราะห์กลูโคสจากสารอาหารอื่น ทำให้สารอาหารประเภทโปรตีนและกลูโคสผ่านไปยังทารกมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีส่วนกระตุ้น ให้มีการเปลี่ยนแปลงของเต้านมเพื่อเตรียมในการผลิตน้ำนมมากยิ่งขึ้นและมีหน้าที่ส่งสารอาหารไปหล่อเลี้ยงทารกในครรภ์ด้วย
คุณพ่อเตรียมรับมือกับคุณแม่ !!
ฮอร์โมนต่างๆ ที่สูงขึ้นประกอบกับต้องแบกเจ้าหนูในท้องที่ตัวค่อยๆ ใหญ่ขึ้นในทุก ๆ วัน ในบางครั้งอาจทำให้คุณแม่เสียสมดุลไปบ้าง คุณพ่อถือเป็นบุคคลสำคัญที่จะช่วยคุณแม่ได้นะคะ
1. อาการแพ้ท้อง
ด้วยอิทธิพลของฮอร์โมน HCG ทำให้คุณแม่มีอาการพะอืดพะอม หรือคลื่นไส้อาเจียน ดังนั้น คุณพ่อควรลองแบ่งอาหารเป็นมื้อย่อย แต่หลายมื้อ ปริมาณมื้อละน้อย ๆ หลีกเลี่ยงอาหารมัน ๆ นะคะ เน้นอาหารที่ย่อยง่าย เช่น น้ำผลไม้สด ขนมปังกรอบ ผลไม้อบกรอบที่ผ่านกระบวนการที่สะอาด ปลอดภัย แต่หากคุณแม่มีอาการแพ้รุนแรงก็ใช้วิธีจิบน้ำหวานหรือทานไอศกรีม จะช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องรุนแรงได้ดีขึ้น
2. เมื่อยล้าและเหนื่อยง่าย
เกิดจากระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มขึ้น ทำให้คุณแม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าง่าย และต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นด้วย รวมไปถึงคุณอาจปวดแขน ปวดขา และหลัง ซึ่งเกิดจากการอุ้มท้อง การดื่มน้ำขิงร้อนๆ และแช่เท้าด้วยน้ำอุ่นหลังจากเลิกงาน ช่วยผ่อนคลายได้ดีทีเดียวเลยนะคะคุณพ่อ
3. อารมณ์เปลี่ยนแปลง
อาการนี้ถือเป็นอาการที่เห็นได้ชัดมาก ๆ สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งท้อง ในบางคนอาจรู้สึกหงุดหงิด ไม่ได้ดั่งใจ เหม็นหน้าคุณพ่อ แต่ในบางคนพบว่าอาจเป็นมากถึงขั้นซึมเศร้าเลย รู้สึกจิตใจห่อเหี่ยวไม่อยากแต่งหน้าไปทำงานด้วยซ้ำ กลัวสามีรับไม่ได้กับรูปร่าง หน้าตาที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น ความเข้าใจ กำลังใจและการดูแลจากคุณพ่อ ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ อาจหากิจกรรมนอกบ้านทำ พากันไปออกกำลังกาย (อ่านท่าการออกกำลังกายสำหรับคนท้องได้ที่นี่) เพื่อให้คุณแม่ได้ปรับสมดุลทางอารมณ์ให้ดีขึ้นค่ะ
ทั้ง 3 อาการเป็นเพียงตัวอย่างอาการที่เห็นได้ชัดๆ ที่ทำให้คุณแม่เปลี่ยนไป แต่จริงๆ แล้วยังมีอีกมากเลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็น ผิวหนังบริเวณหน้าท้องและเต้านมมีสีเข้มขึ้น ปวดศีรษะ การรับรสเปลี่ยนไป ท้องอืด อาหารไม่ย่อย ฯลฯ เพราะการอุ้มท้องตลอดระยะเวลา 9 เดือน ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย แต่เวลบีเชื่อว่า การจับมือกันก้าวผ่านวันยากๆ นี้ไปได้ มันมีคุ้มค่ามากๆ เลยนะคะ กับการพบหน้าอีก 1 ชีวิต ในอนาคต
เวลบีเอาใจช่วยทุกครอบครัวค่ะ
